วิธีการรักษาโรคไข้เลือดออก ต้องดูแลอย่างไรให้ปลอดภัย ?

โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งยังคงพบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีน้ำขังและอุณหภูมิเอื้อต่อการแพร่พันธุ์ของยุง การรักษาโรคไข้เลือดออกจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพราะหากละเลยอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการของโรคไข้เลือดออกที่ควรสังเกต
ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการหลังถูกยุงที่มีเชื้อกัดประมาณ 5–8 วัน โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- มีไข้สูงเฉียบพลัน 38.5–40 องศาเซลเซียส
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกระบอกตา
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
- มีผื่นขึ้นตามตัว
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- ในบางรายอาจมีเลือดออกตามผิวหนัง เหงือก หรือจมูก ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะไข้เลือดออกระยะรุนแรง (Dengue Hemorrhagic Fever) ที่ควรรีบพบแพทย์โดยทันที
ขั้นตอนการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก
เมื่อสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจเลือดเพื่อดูเกล็ดเลือดและระดับฮีมาโตคริต (Hematocrit) ซึ่งมักจะลดลงในผู้ป่วยโรคนี้ การวินิจฉัยที่แม่นยำมีความสำคัญต่อการวางแผนการรักษา เพราะโรคไข้เลือดออกไม่มีตัวยาต้านไวรัสเฉพาะทางเหมือนไข้หวัดใหญ่ การดูแลรักษาจึงต้องอาศัยการประคับประคองอาการเป็นหลัก
การรักษาโรคไข้เลือดออก
วิธีการรักษาโรคไข้เลือดออกขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. การดูแลรักษาที่บ้าน (กรณีอาการไม่รุนแรง)
ผู้ป่วยที่ยังสามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้เพียงพอ อาจรักษาตัวที่บ้านได้โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ควรปฏิบัติดังนี้
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานยาลดไข้ พาราเซตามอล (Paracetamol) ห้ามใช้ยากลุ่มแอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น อาเจียนมาก ปวดท้องรุนแรง มีเลือดออก หรือมือเท้าเย็น ซึ่งควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
2. การรักษาในโรงพยาบาล (กรณีอาการรุนแรง)
ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำรุนแรงหรือมีเลือดออกจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโรคไข้เลือดออกในโรงพยาบาล โดยแพทย์จะให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (IV Fluid) เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย และติดตามระดับเกล็ดเลือดอย่างใกล้ชิด หากมีภาวะช็อกจากการรั่วของพลาสมา หรือมีเลือดออกภายใน อาจต้องให้เลือดหรือเกล็ดเลือดเพิ่มเติม
ในบางกรณีที่พบว่ามีการติดเชื้อร่วม เช่น ตับอักเสบหรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำมาก แพทย์จะให้การรักษาเพิ่มเติมตามอาการ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ระยะพักฟื้นและการดูแลหลังจากหายป่วย
หลังจากพ้นระยะอันตรายแล้ว ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลร่างกายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพักผ่อนและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อฟื้นฟูเกล็ดเลือด เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง และอาหารที่ย่อยง่าย ควรงดการออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากหายป่วย เพื่อป้องกันการกลับมาเกิดภาวะเลือดออกซ้ำ





